วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week 4 : โปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์ (Java)


วันนี้เราจะมารู้จักภาษาจาวากัน โดยปกติจะเห็นในเว็บหรือว่าแอพพลิเคชั่นในโทรศัพท์ วันนี้เพราะจะมาเจาะลึกกัน !!!!
ไปกันเลย 
!!!!!


ภาษาจาวา (อังกฤษJava programming language) เป็นภาษาโปรแกรมเชิงวัตถุ (อังกฤษObject Oriented Programming) พัฒนาโดย เจมส์ กอสลิง และวิศวกรคนอื่นๆ ที่ ซัน ไมโครซิสเต็มส์ ภาษาจาวาถูกพัฒนาขึ้นในปี พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) โดยเป็นส่วนหนึ่งของ โครงการกรีน (the Green Project) และสำเร็จออกสู่สาธารณะในปี พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995) ซึ่งภาษานี้มีจุดประสงค์เพื่อใช้แทนภาษาซีพลัสพลัส (C++) โดยรูปแบบที่เพิ่มเติมขึ้นคล้ายกับภาษาอ็อบเจกต์ทีฟซี (Objective-C) แต่เดิมภาษานี้เรียกว่า ภาษาโอ๊ก (Oak) ซึ่งตั้งชื่อตามต้นโอ๊กใกล้ที่ทำงานของ เจมส์ กอสลิง แต่ว่ามีปัญหาทางลิขสิทธิ์ จึงเปลี่ยนไปใช้ชื่อ "จาวา" ซึ่งเป็นชื่อกาแฟแทน
และแม้ว่าจะมีชื่อคล้ายกัน แต่ภาษาจาวาไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับภาษาจาวาสคริปต์ (JavaScript) ปัจจุบันมาตรฐานของภาษาจาวาดูแลโดย Java Community Process ซึ่งเป็นกระบวนการอย่างเป็นทางการ ที่อนุญาตให้ผู้ที่สนใจเข้าร่วมกำหนดความสามารถในจาวาแพลตฟอร์มได้

จุดมุ่งหมาย

จุดมุ่งหมายหลัก 4 ประการ ในการพัฒนาจาวา คือ
  1. ใช้ภาษาโปรแกรมเชิงวัตถุ
  2. ไม่ขึ้นกับแพลตฟอร์ม (สถาปัตยกรรม และ ระบบปฏิบัติการ)
  3. เหมาะกับการใช้ในระบบเครือข่าย พร้อมมีไลบรารีสนับสนุน
  4. เรียกใช้งานจากระยะไกลได้อย่างปลอดภัย

จาวาแพลตฟอร์ม และ ภาษาจาวา

เนื่องจากชื่อที่เหมือนกัน และการเรียกขานที่มักจะพูดถึงพร้อมกันบ่อยๆ ทำให้คนทั่วไป มักสับสนว่า ภาษาจาวา และ จาวาแพลตฟอร์ม เป็นสิ่งเดียวกัน
ในความเป็นจริงนั้น ทั้งสองสิ่ง แม้จะทำงานเสริมกัน แต่ก็เป็นสิ่งที่แยกออกจากกัน
โดย ภาษาจาวานั้น คือภาษาสำหรับใช้เขียนโปรแกรมภาษาหนึ่ง ดังที่ได้อธิบายไปข้างต้น ส่วน จาวาแพลตฟอร์มนั้น คือสภาพแวดล้อมสำหรับการใช้งานโปรแกรมจาวา โดยมีองค์ประกอบหลักคือ จาวาเวอร์ชวลแมชีน (Java virtual machine) และ ไลบรารีมาตรฐานจาวา (Java standard library)
โปรแกรมที่ทำงานบนจาวาแพลตฟอร์มนั้น ไม่จำเป็นจะต้องสร้างด้วยภาษาจาวา เช่น อาจจะใช้ ภาษาไพทอน (Python) หรือ ภาษาอื่นๆก็ได้
ส่วนภาษาจาวานั้น ก็สามารถนำไปใช้พัฒนาโปรแกรมสำหรับแพลตฟอร์มอื่นได้เช่นเดียวกัน เช่น คอมไพเลอร์ gcj สามารถคอมไพล์โปรแกรมที่เขียนด้วยภาษาจาวา ให้ทำงานได้ โดยไม่ต้องใช้ จาวาเวอร์ชวลแมชีน

ประวัติ

รุ่นต่าง ๆ ของภาษาจาวา[แก้]

  • 1.0 (ค.ศ. 1996) — ออกครั้งแรกสุด
  • 1.1 (ค.ศ. 1997) — ปรับปรุงครั้งใหญ่ โดยเพิ่ม inner class
  • 1.2 (4 ธันวาคมค.ศ. 1998) — รหัส Playground ด้านจาวาแพลตฟอร์มได้รับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ใน API และ JVM (API สำคัญที่เพิ่มมาคือ Java Collections Framework และ Swing; ส่วนใน JVM เพิ่ม JIT compiler) แต่ตัวภาษาจาวานั้น เปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย (เพิ่มคีย์เวิร์ดstrictfp) และทั้งหมดถูกเรียกชื่อใหม่ว่า "จาวา 2" แต่ระบบเลขรุ่นยังไม่เปลี่ยนแปลง
  • 1.3 (8 พฤษภาคมค.ศ. 2000) — รหัส Kestrel แก้ไขเล็กน้อย
  • 1.4 (13 กุมภาพันธ์ค.ศ. 2002) — รหัส Merlin เป็นรุ่นที่ถูกใช้งานมากที่สุดในปัจจุบัน (ขณะที่เขียน ค.ศ. 2005)
  • 5.0 (29 กันยายนค.ศ. 2004) — รหัส Tiger (เดิมทีนับเป็น 1.5) เพิ่มคุณสมบัติใหม่ในภาษาจาวา เช่น Annotations ซึ่งเป็นที่ถกเถียงกันว่านำมาจากภาษาซีชาร์ป ของบริษัทไมโครซอฟท์EnumerationsVarargs, Enhanced for loop, Autoboxing, และที่สำคัญคือ Generics
  • 6.0 (11 ธันวาคมค.ศ. 2006)  — รหัส Mustang เป็นรุ่นในการพัฒนาของ Java SDK 6.0 ที่ออกมาให้ทดลองใช้ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2004
  • 7.0 (กำลังพัฒนา กำหนดออก ค.ศ. 2008) — รหัส Dolphin กำลังพัฒนา 

ตัวอย่าง

// ประกาศ class
public class MyClass {
    // ประกาศ Method ชื่อ main เพราะ java จะเรียกหา Method main เป็น Method แรก
    public static void main(String[] args) {
        System.out.println("Hello World!"); // แสดงข้อความว่า Hello World!
    }
}

ซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้อง

รายชื่อของซอฟต์แวร์เสรีที่เกี่ยวข้องกับจาวา

ขอขอบคุณที่ติดตามชมนะคะขอบให้ทุกท่านมีความสุขมากๆกับสิ่งที่ฉันได้นำเสนอนะคะ ♥


วันอังคารที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week 3 : Social Network กับนักเรียนและสังคมไทย

คำว่าโซเชียลนั้นเป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์ ที่เชื่อมต่อกันทั่วโลก เพราะฉะนั้นการใช้ โซเชียลจึงต้องระวัง และใช้งานอย่างรอบคอบเป็นอย่างมาก เพราะฉะนั้นตอนนี้เราไปรู้จัก โซเชียลกันเลยเถอะะะะ
!!!!!!

Social Network คืออะไร บทเรียนขั้นพื้นฐาน สู่ความเข้าใจเรื่อง โซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) เพื่อนำไปสู่การทำการตลาดบนโซเชียลเน็ตเวิร์ค หรือ Social Network Marketing
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับ Social Network สำหรับนักการตลาดมือใหม่ ที่คิดจะใช้ช่องทางนี้ในการ Promote สินค้า และบริการ  microBrand ได้เรียบเรียงเนื้อหาสั้นๆ แต่มีประโยชน์สำหรับผู้ที่คิดจะเริ่มต้น แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นยังไง






Social Network คืออะไร

โซเชียลเน็ตเวิร์ค หรือ Social Network คือเครือข่ายสังคมออนไลน์  หรือการที่ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตคนหนึ่ง เชื่อมโยงกับเพื่อนอีกนับสิบ รวมไปถึงเพื่อนของเพื่อนอีกนับร้อย  ผ่านผู้ให้บริการด้านโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) บนอินเตอร์เน็ต เช่น Facebook, Blogger, Hi5, Twitter หรือ Tagged เป็นต้น (บางเว็บไซต์ที่กล่าวถึงในตัวอย่าง ปัจจุบันนี้ได้เสื่อมความนิยมแล้ว)  การเชื่อมโยงดังกล่าว ทำให้เกิดเครือข่ายขึ้น เช่น เราสามารถรู้จักเพื่อนของเพื่อนเราได้  เป็นทอดๆ ต่อไปเรื่อย  ทำให้เกิดสังคมเสมือนจริงขึ้นมา  สามารถสร้างคอนเน็คชั่นใหม่ๆ ได้ง่าย  และเมื่อเราแชร์ (Share) ข้อความหรืออะไรก็ตามลงไปในเครือข่าย  ทุกคนในเครือข่ายก็สามารถรับรู้ได้พร้อมกัน  และสามารถตอบสนองต่อสิ่งที่เราแชร์ได้  เช่น  แสดงความคิดเห็น (Comment)  กดไลค์ (Like) ซึ่งอาจจะแตกต่างกันออกไปตามแต่ละผู้ให้บริการ  ความโดดเด่นในเรื่องความง่ายของโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) ทำให้ธุรกิจ และนักการตลาดสนใจที่จะใช้เป็นเครื่องมือในการประชาสัมพันธ์สินค้า และบริการ



โซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) มีกี่ประเภท อะไรบ้าง
การจัดประเภทของโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) นั้นสามารถแยกได้ตามรูปแบบ และวัตถุประสงค์ในการใช้งาน



โซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) ตามรูปแบบ แบ่งได้เป็น

1. Blog หรือ บล็อก คือเว็บไซต์รูปแบบหนึ่ง มาจากคำว่า Weblog (Website + Log) ซึ่งคำว่า Log ในที่นี้หมายถึง “ปูม” ดังนั้น Blog จึงมีลักษณะเป็นเว็บไซต์ที่จัดเก็บข้อมูลด้วยวิธีเดียวกับปูม  มีการเรียงลำดับตามวันที่บันทึก  ข้อมูลใหม่ที่ Post จะอยู่บนสุด  ส่วนข้อมูลเก่าจะอยู่ล่างสุด  โดยบล็อกสมัยนี้ไม่ได้อยู่ลำพังเดี่ยวๆ แต่มีลักษณะเป็น Community ที่รวบรวม Blog หลายๆ Blog เข้าไว้ด้วยกัน  สามารถเชื่อมโยงผู้เขียน (Blogger) ได้เป็นสังคมขนาดใหญ่  ในขณะเดียวกันก็เชื่อมโยงผู้อ่านไว้กับผู้เขียนได้  โดยสามารถคอมเม้นต์บทความ  ติดตาม  หรือกดโหวตได้ เช่น Blogger เป็นต้น

2. ไมโครบล็อก (Microblog) เป็นเว็บไซต์ขนาดเล็ก ใช้สำหรับส่งข้อความสั้นๆ ไม่กี่ประโยค เพื่อบอกถึงสถานการณ์ และความเป็นไป ไมโครบล็อกที่มีผู้นิยมใช้บริการ เช่น Twitter

3. โซเชียลเน็ตเวิร์คเว็บไซต์ (Social Network Website) คือเว็บไซต์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นสังคมออนไลน์โดยเฉพาะ เช่น Facebook, Linkedin, Myspace, Hi5 เป็นต้น เว็บพวกนี้มีจุดเด่นที่การแชร์คอนเท้นต์ ทั้งข้อความ รูปภาพ และวีดีโอ บางเว็บรวมไปถึงบทความ เพลง และลิ้งค์  นอกจากนั้นยังมีฟังก์ชั่นในการแสดงความรู้สึก หรือมีส่วนร่วม เช่น การกดไลค์ (Like) การโหวต การอภิปราย (Discuss) และการแสดงความคิดเห็น เป็นต้น

4. เว็บโซเชียลบุ๊คมาร์ค (Bookmark Social Site) เป็นเว็บที่ให้เราเก็บหน้าเว็บ หรือเว็บไซต์ที่เราชื่นชอบ เพื่อเอาไว้เข้าชมทีหลัง แต่พอมาเป็นโซเชียลไซต์ เราจะสามารถแชร์ URL ของหน้าเว็บเหล่านั้น รวมถึงดูว่าคนอื่นเก็บหน้าเว็บอะไรไว้บ้าง เข้าชม และแสดงความคิดเห็นต่อหน้าเว็บต่างๆ ได้

ข้อดี-ข้อด้อย ของ Social Network

   


             ในปัจจุบันการติดต่อสื่อสารของคนทั้งโลกสามารถทำได้รวดเร็วและกว้างขวาง เนื่องจากโลก Internet ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิตของผู้คนในปัจจุบัน กระแส Internet ที่มาแรงและเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นและบุคคลที่ต้องการสื่อสารสัมพันธ์ คงหนีไม่พ้น “Social Network” ที่สามารถเข้ากลุ่มพื้นที่ความเป็นส่วนตัวของหลายคนได้ภายในเวลารวดเร็ว ได้แก่ Twitter Facebook Whats app Line เป็นต้น แน่นอนว่าแอพพลิเคชั่นเหล่านี้ย่อมมีข้อดี ข้อด้อยแตกต่างกันไป วันนี้เราจึงขอแนะนำข้อดี ข้อด้อยของแต่ละแอพฯได้ทุกคนได้ทราบกัน เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการเลือกใช้แอพพลิเคชั่นเหล่านี้ได้อย่างเหมาะสม

TWITTER



ข้อดี

  • สามารถเข้าถึงคนกลุ่มมากในระยะเวลาอันสั้น โดยสามารถอ่านรายงานสดจาก User ของทวิตเตอร์คนอื่นๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์หรือสถานที่เกิดเหตุ                                                                                           
  • ส่งข่าวสารได้เร็ว โดยสามารถส่งข่าวสารให้กับคนที่ follow เราทั้งหมดได้ในลักษณะของ short message ในช่วงเวลาเพียงสั้นๆ ไม่เสียค่าบริการ                                                                                     
  • ได้ความรู้ใหม่ๆ เพิ่มขึ้น จากบุคคลที่เรา Following เช่น ถ้าบุคคลที่เราติดตามมีการอัพเดทข้อความที่เป็นสาระความรู้ และหากมีลิ้งค์ไปยังแหล่งข้อมูลนั้นด้วย คุณก็สามารถคลิกไปดูแหล่งข้อมูลความรู้นั้นได้เลย                                                                                                                             
  • ได้รู้จักทั้งคนดังหรือไม่ดัง และคนที่คุณอยากรู้จัก และสามารถหา Search ด้วยตัวคุณเองในช่อง Search


ข้อด้อย


  • การแอบอ้างชื่่อบุคคลหรือการปลอมแปลงสามารถทำได้ง่าย เพราะการสมัครทำได้ง่ายเพียงแค่ตั้งชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และใส่อีเมล์ที่ใช้งานอยู่เท่านั้นเอง คนดังๆ อย่าง Steve Jobs Bill Gates ไปจนถึง Warren Buffet จึงมีบัญชีผู้ใช้ Twitter อยู่หลายบัญชี ซึ่งเป็นของผู้แอบอ้าง                                 
  • มีการจำกัดจำนวนตัวอักษร โดยมีความยาวครั้งละไม่เกิน 140 ตัวอักษร                                             
  • ไม่มีการขึ้นสถานะบ่งบอกการออนไลน์ และขึ้นคำว่า Read ทำให้เราไม่รู้ว่ามีใครกำลังออนไลน์อยู่ในขณะนั้น และไม่สามารถรู้ได้ว่าผู้ที่ได้รับข้อความได้อ่านข้อความที่ส่งให้หรือไม่


                                


    Facebook



    ข้อดี 
    • ส่งข้อความ แลกเปลี่ยนแบ่งปัน (Share) ข้อมูลต่าง ๆ ได้แก่ รูปภาพ วีดีโอ                                        
    • สามารถสร้างกลุ่ม (Group) หรือเครือข่ายทางสังคม ให้คนเข้ามาติดตามข้อมูลสินค้าและบริการ มีระบบบริการต่างๆ ได้แก่ เกมส์ กิจกรรม และโปรแกรมแอพลิเคชั่นต่างๆ ให้ผู้ใช้งานเลือกใช้             
    • ไม่ตกข่าว คือทราบความคืบหน้า เหตุการณ์ของบุคคลต่างๆและผู้ที่ใกล้ชิด                                             
    • สามารถส่งสติกเกอร์และการ์ตูนอีโมชั่นแทนอารมณ์ต่างๆได้


    ข้อด้อย 

    • เพื่อนทุกคนในเครือข่ายสามารถเขียนข้อความต่างๆลง wall  ของ Facebook ได้แต่หากเป็นข้อความที่เป็นความลับ การใส่ร้ายกัน หรือแฝงไว้ด้วยการยั่วยุต่างๆ จะทำให้ผู้อ่านที่ไม่มีวุฒิภาวะพอ หลงเชื่อ เกิดความขัดแย้ง และปัญหาตามมาในภายหลังได้ 


    • การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวทั้งหมดให้กับบุคคลภายนอกที่ไม่รู้จักดีพอ เช่นการลงรูปภาพของครอบครัวหรือลูก อาจนำมาเรื่องปัญหาการปลอมตัว หรือการหลอกลวงอื่นๆที่คาดไม่ถึงได้

    WHATS APP

    ข้อดี

    • WhatsApp มีคนใช้มากกว่าและสามารถแชทกันผ่านระบบอื่นๆได้ด้วย เช่น Andriod / BB /Window 7
    • มีการแจ้งเตือนรวดเร็ว และสม่ำเสมอ                                                                                                 
    • สามารถลบข้อความที่กดส่งไปแล้วได้                                                                                                           
    • ส่งไฟล์แนบได้หลายอย่าง                                                                                                                       
    • ประหยัดแบตเตอรี่

    ข้อด้อย 

    • สัญญาณหลุดบ่อย                                                                                                                                
    • ไม่มีการ์ตูนสติกเกอร์แสดงอารมณ์                                                                                                                  
    • แชทได้แต่โทรฟรีไม่ได้                                                                                                                         
    • Add Friend ได้ทางเบอร์โทรศัพท์อย่างเดียว


    LINE

     

    ข้อดี

    • ใช้ได้กับ Mobile , Tablet และเครื่อง PC                                                                                              
    • มีสติกเกอร์ และ การ์ตูนอีโมชั่น แสดงอารมณ์ต่างๆมากมายหลายแบบ ทั้ง กวนๆ น่ารักๆ เศร้า เสียใจ ดีใจ และคำทักทายต่างๆ                                                                                                                      
    • Add Friend ได้หลายวิธี เช่น เพิ่มจากรายชื่อ QR Code การ Shake เป็นต้น                                                
    • สามารถส่งข้อความ การสร้างกรุ๊ป Chat และการแชร์ภาพ วิดีโอ เสียง ระหว่างการสนทนา                 
    • สามารถ Voice Call ใช้แทนโทรศัพท์ได้ ทั้งในและต่างประเทศโดยไม่เสียเงิน                                            
    • การพูดคุยเป็นกลุ่ม หากมีคนอ่านข้อความ จะขึ้นว่า Read แล้วกี่คน จะทำให้คาดเดาหรือประเมินได้ว่ามีใครอ่านหรือไม่อ่านได้ จะได้เอามาเป็นข้ออ้างในการไม่รับรู้ข้อมูลข่าวสารไม่ได้                     

    ข้อด้อย                                                                                                                                               

    • การแจ้งเตือนไม่สม่ำเสมอ
    • ไม่สามารถลบข้อความที่ส่งไปแล้วได้
    • ลูกเล่นเยอะทำให้เปลืองแบตเตอรี่


                                     

    http://littleseoultown.blogspot.com/2013/12/social-network.html


    จะเห็นได้ว่าในแต่ละโปรแกรมโซเชียล ก็จะมีทั้งข้อดีและข้อเสีย เพราะฉะนั้นเราควรใช้ให้ถูกวิธี ขอบคุณที่ติดตามชมค่ะ 

    วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2558

    Week 2 : ไขข้อข้องใจ กับ 9 ความจริงของระบบเผาผลาญร่างกาย

    นี่ก็เป็น blog ที่สองของฉันแล้วนะคะ และ ที่ฉันสนใจในบทความนี้เป็นเพราะว่าฉันมีปัญหาเรื่องการเผาผลาญของร่างกาย และปัญหาเรื่องการกินค่ะ ฉันเป็นคนกินเยอะจึงต้องศึกษาเกี่ยวกับระบบพวกนี้เอาไว้ ว่าจะทำยังไงให้มันอยู่กับเราต่อไป เราควรจะปฏิบัติตัวอย่างไรในสังคมปัจจุบัน

    เชิญรับชมได้เลยคร้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา

    ไขข้อข้องใจ กับ 9 ความจริงของระบบเผาผลาญร่างกาย



      True or False : กับ 9 ความจริงของระบบเผาผลาญร่างกาย (Health plus)
                "การทำงานของระบบเผาผลาญของมนุษย์เรา เป็นกระบวนการทางเคมีที่เกิดขึ้นในร่างกาย ที่ทำให้เรามีชีวิตอยู่ต่อไปได้ หายใจได้ การสูบฉีดเลือดคล่องตัว ส่งเสริมการทำงานของสมองและเผาผลาญอาหารให้เป็นพลังงาน แต่ถ้าพูดถึงอัตราการเผาผลาญขั้นพื้นฐานนั้น จะหมายถึงจำนวนแคลอรี่ที่ร่างกายใช้ไปในแต่ละวัน เพื่อสนับสนุนการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายนั่นเองค่ะ" แพทย์หญิงซูซาน โบเวอร์แมน ผู้เชียวชาญด้านวิทยาศาสตร์ อาหารและโภชนาการ ให้สัมภาษณ์กับ Health plus ต่อประเด็นที่หลายคนอยากจะถาม โดยเฉพาะระบบเผาผลาญที่ดี จะช่วยให้คุณผู้หญิงฟิตและเฟิร์มแลดูเป็นสาววัยยี่สิบอีกครั้งได้อย่างไร

        จริงหรือไม่ … เมื่ออายุมากขึ้น ทำให้การเผาผลาญแคลอรี่ลดลง

                เมื่อเราอายุมากขึ้น น้ำหนักตัวก็เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย เนื่องจากมีการออกกำลังกายน้อยลงกว่าเดิม ส่งผลให้มีการเผาผลาญแคลอรี่ลดลงในแต่ละวัน ร่างกายมีมวลกล้ามเนื้อลดลง รูปร่างจึงหนาขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นการบริหารกล้ามเนื้อหัวใจและหลอดเลือด เพื่อให้มีการเผาผลาญแคลอรี่มากขึ้น รวมทั้งการออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อจะช่วยควบคุมการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักที่เกิดจากวัยที่สูงขึ้นได้เป็นอย่างดี

        จริงหรือไม่ … ระบบการเผาผลาญแคลอรี่ในร่างกายของเราไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้

                บางคนโชคดี ที่สามารถทานอาหารได้ตลอดเวลาโดยที่น้ำหนักไม่เพิ่ม ซึ่งอาจมาจากการเลือกบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพและมีแคลอรี่ต่ำก็ได้ หรือบางทีร่างกายอาจจะมีการเคลื่อนไหวอยู่บ่อยๆ ดังนั้น หากคุณต้องการให้ร่างกายของคุณมีการเผาผลาญได้มากขึ้น เพียงคุณเคลื่อนไหวร่างกายเพื่อใช้กล้ามเนื้อมากขึ้นในระหว่างวัน ก็จะช่วยให้ระบบการเผาผลาญทำงานได้ดีขึ้น

        จริงหรือไม่ … เครื่องดื่มเย็นๆ ช่วยให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรี่ได้ดีขึ้น

                ผลจากการปฎิบัติการทดลอง พบว่า ผู้ที่บริโภคอาหารหรือเครื่องดื่มเย็นจะมีการเผาผลาญแคลอรี่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย (เพิ่มขึ้นประมาณวันละ 10 แคลอรี่)โดยการเผาผลาญแคลอรี่ดังกล่าวมีสัดส่วนเพียงเล็กน้อย ซึ่งแทบไม่มีผลต่อการทำให้น้ำหนักลดลงเลย

        จริงหรือไม่ … การลดการบริโภคแคลอรี่ ทำให้ร่างกายมีการเผาผลาญช้าลง

                ตามธรรมชาติแล้ว ร่างกายจะทำหน้าที่เก็บรักษาแคลอรี่ไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ การลดการบริโภคแคลอรี่จะทำให้แคลอรี่ที่สะสมในร่างกายลดลง ส่งผลให้อัตราการเผาผลาญแคลอรี่ลดลงตาม แต่เพียงส่วนน้อยเท่านั้น ถ้าเรามีการเคลื่อนไหวอย่างกระฉับกระเฉง ก็จะทำให้เรามีน้ำหนักตัวลดลง โดยไม่ส่งผลกระทบต่ออัตราการเผาผลาญในร่างกายได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น ควรทานอาหารที่ถูกหลักโภชนาการบวกกับออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อให้ร่างกายมีอัตราการเผาผลาญแคลอรี่ตามปกติ

        จริงหรือไม่ … เมื่องดบริโภคอาหารในตอนกลางคืนช่วยลดน้ำหนักได้

                การหยุดบริโภคหลังมื้ออาหารปกติจะส่งผลให้มีน้ำหนักตัวลดลง เนื่องจากการบริโภคให้แคลอรี่โดยรวมลดลง ไม่ใช่เกิดจากการบริโภคที่ให้แคลอรี่เร็วกว่าเดิม ดังนั้น การบริโภคอาหารเพื่อให้ได้รับแคลอรี่ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน จึงไม่มีผลให้คุณลดน้ำหนักได้เร็วขึ้น เว้นแต่คุณจะบริโภคอาหารที่ให้แคลอรี่ในปริมาณที่น้อยกว่าความต้องการของร่างกาย คุณก็จะสามารถลดน้ำหนักได้

        จริงหรือไม่ …  ทานอาหารประเภทโปรตีนเป็นประจำช่วยให้ระบบเผาผลาญดีขึ้นได้

                อัตราการเผาผลาญในร่างกาย ซึ่งหมายถึงปริมาณแคลอรี่ที่ถูกเผาผลาญในระหว่างที่เรานอนหลับมีความสัมพันธ์โดยตรงกับปริมาณมวลกล้ามเนื้อ ซึ่งมีวิธีที่ดีที่สุดที่เราควรทำคือ การทานอาหารที่มีโปรตีนสูงอย่างพอเพียงอย่าง ปลา เป็ด ไก่ ไข่ขาว นมขาดมันเนย รวมถึงโปรตีนจากถั่วเหลืองเช่น โปรตีนเกษตร เต้าหู้ และอื่นๆ เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง ซึ่งเมื่อกล้ามเนื้อแข็งแรงระบบการเผาผลาญของร่างกายจะมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

        จริงหรือไม่ …  การทานอาหารเสริมมีผลต่อการเผาผลาญ ร่างกายทำให้ดูแก่ก่อนวัยหรือไม่

                ผลจากการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่จะช่วยให้กระบวนการเผาผลาญมีประสิทธิภาพมากขึ้นหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับผลิตภัณฑ์ที่บริโภคการรับประทานอาหารอย่างถูกส่วนต้องเป็นอาหารที่มีปริมาณโปรตีน วิตามิน เกลือแร่ และไขมันเพื่อสุขภาพ อาทิ ไขมันจากปลาและถั่ว อย่างเหมาะสม ซึ่งจะทำให้เราดูอ่อนเยาว์มากขึ้น ปัจจุบัน มีผู้บริโภคจำนวนมากบริโภคผลิตภัณฑ์อาการเสริมวิตามินรวม เกลือแร่ และน้ำมันปลา เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารสำคัญเหล่านี้ได้อย่างครบถ้วน

        จริงหรือไม่ … ถ้าระบบเผาผลาญร่างกายดี รูปร่างหน้าตาก็จะดูอ่อนกว่าวัยด้วย

                หนึ่งในวิธีเพิ่มประสิทธิภาพการเผาผลาญในร่างกายที่ดีที่สุด คือ การสร้างเสริมกล้ามเนื้อด้วยการออกกำลังกาย เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง ซึ่งจะช่วยลดไขมันและทำให้มีรูปร่างที่สมส่วน ซึ่งก็จะส่งผลให้เราแลดูอ่อนเยาว์ขึ้นด้วย สำหรับผู้หญิงไม่ควรกังวลว่า การออกกำลังกายจะไปเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ แล้วกล้ามเนื้อจะใหญ่ขึ้น แต่ในทางกลับกันยิ่งจะทำให้มีรูปร่างบาง กระชับสมส่วนและดูอ่อนเยาว์ขึ้นต่างหาก

        จริงหรือไม่ … เมื่ออายุเลยเลข 30 ระบบเผาผลาญร่างกายก็ยิ่งลดลงตามไปด้วย

                อัตราการเผาผลาญในร่างกายจะชะลอตัวลดลงตามอายุที่มากขึ้น เนื่องจากออกกำลังกายน้อยลง เมื่อเราอายุมากขึ้นหรือออกกำลังกายน้อยลง จึงทำให้เกิดการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ เนื่องจากมวลกล้ามเนื้อที่หนาแน่นเป็นปัจจัยสำคัญ ต่อมาการเผาผลาญแคลอรี่ ทั้งยังเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การเผาผลาญแคลอรี่มีปริมาณลดลงในแต่ละวัน  วิธี การแก้ไขปัญหานี้ก็คือ ทานอาหารที่มีโปรตินในปริมาณที่พอเพียงและออกำลังกายอย่างเหมาะสม เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแกร่ง เช่น เต้นแอโรบิค เดินวิ่ง เหยาะๆ ว่ายน้ำและอื่นๆ ก็จะยิ่งทำให้เผาผลาญแคลอรี่ได้ดีขึ้น รูปร่างก็จะดูสมส่วนและสมวัยด้วย


      ขอขอบคุณข้อมูลจาก

    Week 1 : การใช้เทคโนโลยีในชีวิตประจำวันของนักเรียน

    Week 1 : การใช้เทคโนโลยีในชีวิตประจำวันของนักเรียน

    หากท่านคิดว่าเป็น blog ที่น่าเบื่อขออย่าเพิ่งปิดเลื่อนไปอ่านจนสุดบทความ ขอบคุณค่ะ

    การนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาช่วยปฏิบัติงานในด้านต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิผล มีมากมายหลายด้าน ได้แก่
    1. การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในงานสำนักงาน ปัจจุบันสำนักงานได้นำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาประยุกต์ใช้อย่างแพร่หลาย เพื่อให้งานในสำนักงานมีประสิทธิภาพสูงขึ้น กล่าวคือ ทำให้งานมีความสะดวกรวดเร็ว ถูกต้อง แม่นยำ อุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศที่นำมาใช้ในงานสำนักงาน ได้แก่ เครื่องพิมพ์ดีด อิเล็กทรอนิกส์ โทรศัพท์ เครื่องถ่ายเอกสาร ผลิตภัณฑ์เหล่านี้นำไปประยุกต์ใช้กับงานสำนักงานได้หลายลักษณะ เช่น
            1.1 งานจัดเตรียมเอกสาร เป็นการใช้เครื่องประมวลผลคำหรือเครื่องประมวลผลเนื้อหา เป็นเครื่องมือในการจัดเตรียม อุปกรณ์ประกอบการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ โมเด็ม และช่องทางการสื่อสาร ระบบประมวลผลคำ แบ่งออกได้ 2 ระบบ คือ
                1.1.1 ระบบเดี่ยว (Stand – alone) เป็นระบบที่สามารถประมวลผลได้ภายในคอมพิวเตอร์ชุดเดียว หรือจะเชื่อมโยงไปยังคอมพิวเตอร์อื่น ๆ
                1.1.2 ระบบเชื่อมโยงกับข่ายการสื่อสาร เป็นระบบที่มีการเชื่อมโยงสารสนเทศซึ่งกันและกันผ่านเครือข่ายโทรคมนาคม เช่น เครือข่ายโทรศัพท์ เครือข่ายคอมพิวเตอร์

            1.2 งานกระจายเอกสาร เป็นการกระจายข้อมูลสารสนเทศไปยังผู้ใช้ ณ จุดต่าง ๆ อาจกระทำโดยการเชื่อมโยงผ่านเครือข่ายโทรคมนาคม อุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศที่สามารถปฏิบัติงานกระจายเอกสารได้โดยอัตโนมัติ ได้แก่ ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์

            1.3 งานจัดเก็บและค้นคืนเอกสาร สามารถทำได้ทั้งระบบออฟไลน์และระบบออนไลน์ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรือผ่านเครือข่ายโทคมนาคมรูปแบบอื่น เช่นระบบฐานข้อมูลเป็นต้น

          
            1.4 งานจัดเตรียมสารสนเทศในลักษณะภาพ เทคโนโลยีสารสนเทศที่ใช้ดำเนินงานดังกล่าว ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องสแกนเนอร์ โทรทัศน์
            1.5 งานสื่อสารสนเทศด้วยเสียง เช่น โทรศัพท์ การประชุมทางโทรศัพท์
            1.6 งานสื่อสารสนเทศด้วยภาพและเสียง เช่น ระบบมัลติมีเดีย ระบบการประชุมทางไกลด้วยภาพและเสียง เป็นต้น

    2. การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในงานอุตสาหกรรม โรงงานอุตสาหกรรมนำเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการเข้ามาช่วยในการจัดการระบบงานการผลิต การสั่งซื้อ การพัสดุการเงิน บุคลากร และงานด้านอื่น ๆ ในโรงงาน
    3. การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในงานการเงินและการพาณิชย์ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในรูปแบบของเครื่องเบิกถอนเงินอัตโนมัติ เพื่ออำนวยความสะดวกในการฝาก ถอน โอนเงิน และนำคอมพิวเตอร์ระบบออนไลน์และออฟไลน์เข้ามาช่วยในการทำงานประจำวันของธนาคารด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลของธนาคารต่างสาขา ต่างธนาคาร ทำให้ผู้ใช้บริการสามารถเบิก ถอน โอนเงินชำระเงินค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ได้โดยสะดวก
    4. การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในงานด้านการสื่อสาร ได้แก่ การบริการโทรศัพท์วิทยุ โทรทัศน์ เคเบิลทีวี การค้นคืนสารสนเทศระบบออนไลน์ ดาวเทียม และโครงข่ายบริการสื่อสารร่วมระบบดิจิตอล

    5. การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในงานด้านสาธารณสุข เช่น
            5.1 ระบบสารสนเทศโรงพยาบาล ถูกนำมาใช้ในระบบงานเวชระเบียน ระบบข้อมูลยาการรักษาพยาบาล การคิดเงิน รวมทั้งการส่งเวชระเบียนผ่านระบบโทรคมนาคมที่อาจเรียกว่า โทรเวชได้
            5.2 ระบบสาธารณสุข เทคโนโลยีสารสนเทศถูกนำมาใช้ในการดูแลรักษาโรคระบาดในท้องถิ่น เช่น เมื่อมีผู้ป่วยโรคอหิวาตกโรคในหมู่บ้าน ซึ่งอาจกลายเป็นโรคระบาดได้
            5.3 ระบบผู้เชี่ยวชาญ เป็นระบบที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการวินิจฉัยโรค เช่น ระบบ Mycinของมหาวิทยาลัยสแดนฟอร์ด โดยเริ่มมาใช้ในการวินิจฉัยโรคพืชและโรคสัตว์ ที่ใช้หลักการเก็บข้อมูลต่าง ๆ ไว้โดยละเอียดแล้วใช้หลักปัญญาประดิษฐ์เข้ามาช่วยวิเคราะห์ เป็นแนวคิดในการทำให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้เหมือนมนุษย์


    6. การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกับงานด้านการฝึกอบรมการศึกษา ดังนี้
            6.1 การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction : CAI) เป็นการนำเอาคำอธิบายบทเรียนมาบรรจุไว้ในคอมพิวเตอร์ แล้วนำบทเรียนนั้นมาแสดงแก่ผู้เรียน เมื่อผู้เรียนอ่านคำอธิบายเหล่านั้น คอมพิวเตอร์จะมีส่วนที่ใช้ทดสอบความเข้าใจของผู้เรียนด้วยว่าถูกต้องหรือไม่ หากเข้าใจไม่ถูกต้องคอมพิวเตอร์จะทำการอธิบายเนื้อหาเพิ่มเติมให้เข้าใจมากขึ้น แล้วถามซ้ำอีก
            6.2 การศึกษาทางไกล เทคโนโลยีสารสนเทศที่ใช้ในการจัดการศึกษาทางไกลมีหลายแบบตั้งแต่แบบง่าย ๆ เช่น การเรียนการสอนผ่านสื่อวิทยุ โทรทัศน์ ออกอากาศให้ผู้เรียนศึกษาเอง ตามเวลาที่ออกอากาศ ไปจนถึงใช้ระบบแพร่ภาพการสอนผ่านดาวเทียม หรือการประยุกต์ใช้ระบบประชุมทางไกล โดยผู้สอนและผู้เรียนสามารถสื่อสารถึงกันได้ทันที่ เพื่อสอบถามข้อสงสัยหรืออธิบายคำสอน เพิ่มเติม
            6.3 เครือข่ายการศึกษา เป็นการจัดทำเครือข่ายการศึกษาเพื่อให้ครูอาจารย์และนักศึกษามีโอกาสใช้เครือข่ายเพื่อแสวงหาความรู้ที่มีอยู่มากมายในโลก และใช้บริการต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ทาง การศึกษา เช่น บริการส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (Electronics Mail : E-mail) การเผยแพร่และค้นหา ข้อมูลในระบบเวิลด์ไวด์เว็บ (World Wide Web)

            6.4 การใช้งานในห้องสมุด มีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้ในการดำเนินงานโดยมีเครือข่ายต่าง ๆ ที่ให้การส่งเสริมสนับสนุนในการให้บริการห้องสมุด การนำเทคโนโลยี
    สารสนเทศมาใช้ในห้องสมุดให้ความสะดวกแก่ผู้ใช้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นบริการยืม คืน การค้นหาหนังสือ วารสาร สิ่งพิมพ์ หรือการค้นหาข้อมูลที่ต้องการทำได้อย่างสะดวกและรวดเร็วมาก
            6.5 การใช้งานในห้องปฏิบัติการ มีการนำเอาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการทำงานในห้องปฏิบัติการร่วมกับอุปกรณ์เครื่องมืออื่น ๆ เช่น การจำลองแบบ การออกแบบวงจรไฟฟ้า การ ควบคุม การทดลอง
            6.6 การใช้ในงานประจำและงานบริหาร เช่น การจัดทำทะเบียนประวัติของนักเรียน นักศึกษา การเลือกวิชาเรียน การลงทะเบียนเรียน การแสดงผลการเรียน การแนะแนวอาชีพ การแนะแนวการศึกษาต่อ การเก็บข้อมูลผู้ปกครองหรือข้อมูลครู ซึ่งทำให้ครูอาจารย์สามารถติดตามและดูแล นักเรียนได้ใกล้ชิดมากขึ้น รวมทั้งครูอาจารย์สามารถพัฒนาตนเองได้สูงขึ้น

    ค่ะขอบคุณมากๆนะคะที่ติดตามชมจนจบบทความ นี่เป็นบทความแรกของฉันค่ะ ถ้าหากผิดพลาดประการใดยังไงก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ ส่วนการใช้เทคโนโลยีในชีวิตประจำวันของนักเรียนั้น ถ้าหากใช้ถูกวิธี ใช้ถูกทาง ก็คงไม่มีปัญหาอะไรค่ะ ขอให้เพื่อนๆใช้กันอย่างระมัดระวังนะคะ ♥